Finasteride
ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) ยานี้ออกฤทธิ์โดยการลดระดับฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะ ผมบาง ศีรษะล้าน แบบกรรมพันธุ์
DHTเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะ ผมบาง ศีรษะล้าน ได้อย่างไร?
ภาวะ ศีรษะล้าน จากกรรมพันธุ์ จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วน ด้วยกัน คือ
1.กรรมพันธุ์หรือยีน ศีรษะล้าน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
2.ฮอร์โมนเพศชาย หรือ Testosterone (T)
ฮอร์โมนเพศชาย ( T ) พบได้ทั้งเพศหญิงและชาย ฮอร์โมนนี้ผลิตจากลูกอัณฑะ และต่อมหมวกไต แล้วจึงเข้าสู่กระแสเลือด ไหลเวียนไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ที่หนังศีรษะฮอร์โมนนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็น DHT (Dihydrotestosterone) โดยเอนไซม์ ( enzyme) 5- alpha reductase ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
DHT จะจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ
DHT จะจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆเมื่ออายุมากขึ้น จนในที่สุดเกิดภาวะ ผมบาง และ ศีรษะล้าน ตามมา
ฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ถูกเปลี่ยนไปเป็น DHT (Dihydrotestosterone)
DHT ทำให้เส้นผมเล็กลง
ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5- alpha-reductase ทำให้ระดับของ DHT ทั้งในกระแสเลือดและที่เซลล์สร้างเส้นผม ลดลงกว่า 60 % จึงช่วยป้องกันมิให้เส้นผมมีขนาดเล็กลงและยังอาจทำให้เส้นผมมีขนาดโตขึ้นได้ อีกด้วย
Finasteride ทำให้เส้นผมอ้วนขึ้น
ผลการรักษามีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาในแต่ละคน จากรายงานทางการแพทย์ระบุว่า ฟิแนสเทอไรด์ทำให้ผมหยุดร่วง และ/หรือ ผมขึ้นใหม่ได้อยู่ระหว่าง 66 -88% ฟิแนสเทอไรด์ นับเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยและได้ผลดี ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ ความต้องการทางเพศและการแข็งตัวของอวัยวะเพศลดน้อยลง พบได้น้อยกว่า 2 % ผลข้างเคียงอื่นๆซึ่งพบได้รองลงมาคือ ปริมาณน้ำอสุจิลดน้อยลง เจ็บบริเวณเต้านมหรือเต้านมอาจโตขึ้นได้ อาการข้างเคียงต่างๆเหล่านี้จะกลับคืนเป็นปกติเมื่อหยุดใช้ยา หรืออาจหายไปได้เอง แม้ว่ายังกินยาอยู่ก็ตาม ยาตัวนี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงจะเห็นผล โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่จะประเมินผลการรักษา และหากใช้ยาแล้วได้ผล จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่องตลอดไป เพราะหากหยุดยา เส้นผมที่งอกใหม่ และ/หรือ เส้นผมที่ควรจะหลุดร่วงไป (แต่ไม่ร่วงเพราะฤทธิ์ของยา) จะร่วงไปจนหมด แต่ยานี้ไม่มีผลทำให้ ผมร่วง มากขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด
ยา Propecia ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) มีชื่อทางการค้าว่า (เม็ดละ 1 มิลลิกรัม)รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง ใช้ได้เฉพาะผู้ชาย ศีรษะล้าน ที่มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์เท่านั้น ยานี้ห้ามใช้ในผู้หญิง (เนื่องจากกลไกการเกิดศีรษะล้านในเพศหญิงต่างจากเพศชาย) เพราะ นอกจากจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจเกิดความผิดปกติของอวัยวะเพศของบุตรในครรภ์ได้ (หากรับประทานยาในขณะตั้งครรภ์) ควรใช้ยานี้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
แต่ เนื่องจาก Propecia มีราคาค่อนข้างแพง จึงหันไปใช้ Proscar ซึ่งเป็น Finasteride ขนาด 5 มิลลิกรัม ไว้สำหรับรักษามะเร็ง
ต่อมลูกหมาก เวลาจะใช้ ก็ทำการแบ่งเป็น 4 ส่วน กินวันละ ส่วน จะช่วยประหยัดตังได้มาก
DHTเกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะ ผมบาง ศีรษะล้าน ได้อย่างไร?
ภาวะ ศีรษะล้าน จากกรรมพันธุ์ จะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 2 ส่วน ด้วยกัน คือ
1.กรรมพันธุ์หรือยีน ศีรษะล้าน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
2.ฮอร์โมนเพศชาย หรือ Testosterone (T)
ฮอร์โมนเพศชาย ( T ) พบได้ทั้งเพศหญิงและชาย ฮอร์โมนนี้ผลิตจากลูกอัณฑะ และต่อมหมวกไต แล้วจึงเข้าสู่กระแสเลือด ไหลเวียนไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ที่หนังศีรษะฮอร์โมนนี้จะถูกเปลี่ยนไปเป็น DHT (Dihydrotestosterone) โดยเอนไซม์ ( enzyme) 5- alpha reductase ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
DHT จะจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ
DHT จะจับกับเซลล์สร้างเส้นผม และออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆเมื่ออายุมากขึ้น จนในที่สุดเกิดภาวะ ผมบาง และ ศีรษะล้าน ตามมา
ฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ถูกเปลี่ยนไปเป็น DHT (Dihydrotestosterone)
DHT ทำให้เส้นผมเล็กลง
ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5- alpha-reductase ทำให้ระดับของ DHT ทั้งในกระแสเลือดและที่เซลล์สร้างเส้นผม ลดลงกว่า 60 % จึงช่วยป้องกันมิให้เส้นผมมีขนาดเล็กลงและยังอาจทำให้เส้นผมมีขนาดโตขึ้นได้ อีกด้วย
Finasteride ทำให้เส้นผมอ้วนขึ้น
ผลการรักษามีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาในแต่ละคน จากรายงานทางการแพทย์ระบุว่า ฟิแนสเทอไรด์ทำให้ผมหยุดร่วง และ/หรือ ผมขึ้นใหม่ได้อยู่ระหว่าง 66 -88% ฟิแนสเทอไรด์ นับเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยและได้ผลดี ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ ความต้องการทางเพศและการแข็งตัวของอวัยวะเพศลดน้อยลง พบได้น้อยกว่า 2 % ผลข้างเคียงอื่นๆซึ่งพบได้รองลงมาคือ ปริมาณน้ำอสุจิลดน้อยลง เจ็บบริเวณเต้านมหรือเต้านมอาจโตขึ้นได้ อาการข้างเคียงต่างๆเหล่านี้จะกลับคืนเป็นปกติเมื่อหยุดใช้ยา หรืออาจหายไปได้เอง แม้ว่ายังกินยาอยู่ก็ตาม ยาตัวนี้ต้องใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงจะเห็นผล โดยทั่วไปแนะนำให้รับประทานยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่จะประเมินผลการรักษา และหากใช้ยาแล้วได้ผล จำเป็นต้องใช้อย่างต่อเนื่องตลอดไป เพราะหากหยุดยา เส้นผมที่งอกใหม่ และ/หรือ เส้นผมที่ควรจะหลุดร่วงไป (แต่ไม่ร่วงเพราะฤทธิ์ของยา) จะร่วงไปจนหมด แต่ยานี้ไม่มีผลทำให้ ผมร่วง มากขึ้นกว่าเดิมแต่อย่างใด
ยา Propecia ฟิแนสเทอไรด์ (Finasteride) มีชื่อทางการค้าว่า (เม็ดละ 1 มิลลิกรัม)รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละครั้ง ใช้ได้เฉพาะผู้ชาย ศีรษะล้าน ที่มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์เท่านั้น ยานี้ห้ามใช้ในผู้หญิง (เนื่องจากกลไกการเกิดศีรษะล้านในเพศหญิงต่างจากเพศชาย) เพราะ นอกจากจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว ยังอาจเกิดความผิดปกติของอวัยวะเพศของบุตรในครรภ์ได้ (หากรับประทานยาในขณะตั้งครรภ์) ควรใช้ยานี้ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
แต่ เนื่องจาก Propecia มีราคาค่อนข้างแพง จึงหันไปใช้ Proscar ซึ่งเป็น Finasteride ขนาด 5 มิลลิกรัม ไว้สำหรับรักษามะเร็ง
ต่อมลูกหมาก เวลาจะใช้ ก็ทำการแบ่งเป็น 4 ส่วน กินวันละ ส่วน จะช่วยประหยัดตังได้มาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น